6.07.2554

รวบรวมปัญหาในการเลี้ยงดูเด็ก

A.ภาวะปกติ:
1.1เด็กสะอึก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิดถึงอายุ4-5เดือนมักเป็นหลังกินนมแก้ไขโดยให้ดูดน้ำหรือนมเร็วเร็วการสะอึกจะน้อยลงแล้วหายไปเอง การสะอึกจะน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้นจนหายไปเอง
1.2เด็กสำรอกนม,อาเจียน เด็กมักจะมีการสำรอกนมได้บ้างหลังวกินนมประมาณ1 ชม.เป็นนมที่ยังย่อยไม่เสร็จเป็นก้อนเล็กๆปนกับนำนมปริมาณไม่มากซึ่งไม่ใช่ภาวะผิดปกติไม่ต้องวิตกกังวล  แต่ในทารกบางคนอาจมีการอาเจียนหลังกินนมทันทีซึ่งมีหลายสาเหตุ คือ 1 กินนมมากเกินไป เช่นลูกร้องเมื่อไหร่ให้กินนมทุกครั้งการที่ลูกร้องอาจไม่หิวก็ได้  นมล้นกระเพาะอาหารเด็กก็อาเจียนออกมาได้  2 ภาวะการไหลย้อนกลับของนมเนื่องจากหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเจริญไม่เต็มที่ ภาวะนี้ถ้าอาเจียนเล็กน้อยเด็กกินนมต่อได้ เจริญเติบโตดีไม่จำเป็นต้องให้ยา วิธีแก้ไขคือ
ให้ลูกนอนหัวสูงเวลาให้นม หลังกินนมเสร็จอย่าเพิ่งจับเรอให้ลูกนอนนิ่งที่สุด ให้ลูกกินนมทีละน้อยแต่กินบ่อยให้อาหารเสริมเร็วที่อายุ3 เดือน อาหารหนักท้องเด็กจะไม่อาเจียน ภาวะนี้จะดีขึ้นตามวัย และหายได้เมื่ออายุ4-7 เดือน3.ภาวะการอุดตันของกระเพาะอาหาร  เด็กจะอาเจียนพุ่ง นำหนักลด ผอมลง ถ้าเด็กอาเจียนมากและเลี้ยงไม่โตครปรึกษาแพทย์
1.3เด็กถ่ายอุจจาระบ่อย จากการกินนมแม่ เด็กที่กินนมแม่อุจจาระจะมีสีเหลืองทอง เละเละอาจมีนำปนเล็กน้อย ในช่วงอายุ 1-2 เดือนแรกจะถ่ายบ่อย 5-6ครั้ง/วันหลังจากนั้นจะถ่ายลดลงเหลือ 1-2 ครั้ง/วัน ถ้าลูกกินนมแม่แล้วถ่ายลักษณะนี้ไม่ต้องกังวลใจ
1.4ภาวะรูก้นเป็นแผล[Anal Fissure] เนื่องจากเด็กเล็กมีการถ่ายบ่อยเกิดการระคายเคืองทำให้รอบรอบรูก้นเป็นแผลได้ทำให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมาเพราะลูกเจ็บแผลจึงไม่ยอมเบ่งถ่าย วิธีป้องกันคือ ใช้วาสลินทาบริเวณรูก้นให้ลูกหลังทำความสะอาดทุกครั้งแต่ถ้าก้นเป็นแผลแล้วควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาทาลดการอักเสบและรักษาแผล

1.5ภาวะคัดจมูกในทารกเด็กทารกจะมีน้ำมูกในจมูกออกมาทุกวัน ควรเช็ดน้ำมูกให้ลูกหลังอาบน้ำเช้า-เย็นโดยใช้ไม้พันสำลีหรือกระดาษทิชชู่ม้วนเล็กๆเช็ดให้ลูกเบาๆระวังไม้กระแทกจมูกลูกลูกจะเจ็บต่อไปอาจไม่ยอมให้ทำอีก
1.6ภาวะร้อง 3 เดือนหรือการปวดท้องโคลิก ภาวะนี้อาจเกิดหลังจากออกจากโรงพยาบาลหรือเมื่ออายุ3-4 สัปดาห์เด็กจะร้องตอนหัวค่ำ ร้องเป็นพักๆนาน 1-3 ชั่วโมง ภาวะนี้เชื่อว่าเกิดจากเด็กมีการปวดท้องเมื่อลำไส้บีบตํวเด็กจะร้องเป็นพักๆอาจเนื่องจากลำไส้ของเด็กยังเจริญไม่เต็มที่ วิธีแก้ไข ควรอุ้มทารกพาดบ่า ปลอบโยนลูก อาจให้ญาติผู้ใหญ่ช่วยอุ้ม อย่าเครียดเพราะเด็กจะรับรู้และยิ่งร้องมาก ถ้าอุ้มเดินแล้วเด็กร้องน้อยลงจนหลับได้ก็ไม่ต้องให้ยาแต่ถ้าร้องมากอาจให้ยาแก้ท้องอืด กล่มยา SIMETICON เด็กจะสบายขึ้นแต่ในรายที่ร้องมากอาจต้องให้ยาแก้ปวดท้องซึ่งต้องใช้ด้วยความระมัดระวังควรปรึกษาแพทย์
1.7การมีตกขาวหรือเลือดออกทางช่องคลอดชั่วคราวในทารกแรกเกิดตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องจะได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากแม่ ฮอร์โมนนี้ทำให้มดลูกในเด็กผู้หญิงหนาตัว เมื่อเด็กคลอดออกมาฮอร์โมนจากแม่ลดลงอย่างรวดเร็วผนังมดลูกจะลอกตัวจึงมีเลอดออกทางช่อง ส่วนตกขาวและอวัยวะเพศบวมก็เกิดจากฮอร์โมนจากแม่เช่นกันเมื่อฮอร์โมนหมด ภาวะต่างๆเหล่านี้ก็จะหายไป


B.ภาวะผิดปกติ 
2.1 สะดืออักเสบ สายสะดือจะถูกตัดออกเมื่อลูกคลอดเหลือยาวประมาณ5 ซม. ควรเช็ดสะดือให้แห้งหลังอาบน้ำ เช็ดวันละ 2 ครั้งด้วยอัลกอฮอล์ เช้า เย็น เช็ดให้ถึงโคนไม่ต้องกลัวลูกเจ็บเวลาเช็ดสะดือลูกอาจจะร้องบ้างเพราะรู้สึกรำคาญแต่ลูกจะไม่เจ็บถ้าเช็ดสะดือดี จะหลุดภายใน7-10 วันแต่ถ้าเช็ดไม่สะอาด สะดือจะแฉะ อ้กเสบ ติดเชื้อ หลุดช้า ในบางรายการติดเชื้อรุกลามเข้ากระแสเลือดเป็นอันตราย
2.2ทารกนอนมากเกินไป ทารกปกตินอนวันละ 20-22 ชั่วโมง และจะตื่นมาร้องกินนมวันละ8 มื้อ ถ้าทารกนอนมากเกินไป ไม่ตื่นมาร้องกินนมภายใน4-5 ชั่วโมงถือว่าผิดปกติควรพบแพทย์หาสาเหตุ ภาวะที่ทำให้เด็กมีอาการดังกล่าว เช่น
ภาวะฮอร์โมนทัยรอยด์ในเลือดต่ำ ตัวเหลืองมากเกิน การติดเชื้อ เป็นต้น
2.3ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำตา พบได้บ่อยในทารกตั้งแต่แรกเกิด เด็กจะมีน้ำตาไหลคลอตาข้างที่มีการอุดตัน อาจมีการอักเสบติดเชื้อมีขี้ตามาก วิธีแก้ไข ใช้นิ้วก้อยนวดหัวตาด้านจมูกโดยกดเบาๆจากหัวตาลงสู่จมูก20-30/ครั้ง วันละ 2-3 รอบ ใช้เวลา2-3 เดือนท่อนำตาจะเปิดเอง ถ้าอายุ10เดือนท่อน้ำตายังไม่เปิดจำเป็นต้องพบหมอตาเพื่อพิจารณาแยงท่อน้ำตาให้เปิด
2.4ภาวะคอเอียง เกิดจากกลามเนื้อด้านหนึ่งมีการหดตัวมากกว่าปกติวิธีแก้ไขให้จับลูกนอนหันไปทางด้านที่กล้ามเนื้อหดตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อยืดออก ทำทุกวัน ค้างไว้ 10วินาทีคอลูกจะกลับมาตรงได้ถ้าภายใน 6 เดือนไม่ดีขึ้นต้องรักษาโดยการผ่าตัดกล้ามเนื้อ
2.5มีเชื้อราในปากลักษณะเป็นคราบสีขาวหนาที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม อาจทำให้เด็กเจ็บและกินนมน้อยลง สาเหตุเกิดจากหลังกินนมจะมีนมเหลือค้างในปากทำให้เชื้อราเติบโต แก้ไขโดยหลังกินนมทุกครั้ง(โดยเฉพาะนมกระป๋อง)ควรให้ลูกกินน้ำเปล่าเล็กน้อยเพื่อล้างปาก  ถ้าเป็นมากควรพบแพทย์เพื่อให้ยารักษาเชื้อรา
2.5ผื่นแพ้ผ้าอ้อม เด็กบางคนเมื่อใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอาจแพ้เป็นผื่นแดงบริเวณที่สัมผัสผ้าอ้อม วิธีแก้ไขควรทาวาสลีนก่อนใส่ผ้าอ้อมให้ลูกทุกครั้ง ถ้าแพ้มากอาจต้องใช้ยาแก้แพ้ทาเด็กวัย 3  เดือนแรกนอนไม่ดิ้น กลางวันไม่ควรใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้ใช้ผ้ายางปูใช้ผ้าอ้อมปูทับถ้าลูกขับถ่ายให้แช่ผ้าอ้อมในน้ำแล้วซัก กลางคืนค่อยใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป


...................................................................
รวมบทความแก้ปัญหานมไม่พอ   

ปัญหานมน้อย นมไม่พอ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ประสบความสำเร็จ  บทความทั้งหมดในเว็บนี้เรียกได้ว่าเกินกว่าครึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับการแก้ปัญหานมไม่พอ  เวลาที่มีใครสักคนต้องการความช่วยเหลือกเกี่ยวกับปัญหานมไม่พอนี้ ไม่ว่าจะโดย การตั้งกระทู้ หรือเมล์มาถามโดยตรงนั้น ขอบอกว่าเป็นเรื่องลำบากทีเดียวที่จะตอบให้ได้ภายในไม่กี่บรรทัด  เพราะคำว่า"นมน้อย" หรือ "นมไม่พอ" ของแต่ละคนนั้น เวลาพูดเหมือนจะเป็นปัญหาเดียวกัน  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน  สาเหตุและวิธีแก้ไขก็แตกต่างกัน

ที่ผ่านมามักจะเลือกบทความที่เกี่ยวข้อง แล้วให้ไปอ่านกันเอง แต่พอนานๆ เข้าก็พบว่า บทความทั้งหลายมันกระจัดกระจาย ยากแก่การเข้าถึง เลยขอนำบทความทั้งหมดมารวบรวมและจัดหมวดหมู่ใหม่ เพื่อให้แม่ที่มีปัญหานมไม่พอ ได้หาอ่านกันอย่างง่ายขึ้น

คุณแม่ที่กำลังคิดว่าตัวเองนมน้อย นมไม่พอ ขอให้พิมพ์บทความ ทั้งหมด ข้างล่างนี้ แล้วใช้ความพยายามในการ ตั้งใจ อ่านให้ดีนะคะ  จะได้เข้าใจและรู้ว่าควรจะต้องแก้ไขอย่างไร  ขอเตือนว่าการเลือกอ่านเฉพาะบางเรื่อง บางหัวข้อ อย่างเช่น "อาหารเพิ่มน้ำนม" นั้น ไม่สามารถช่วยให้นมแม่เพิ่มขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ  ความเข้าใจในสาเหตุและปัญหาโดยรวมเท่านั้นค่ะ  ถึงจะช่วยให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น   



1.นมไม่พอจริงหรือไม่ : อ่านเพื่อทำความเข้าใจในเบื้องต้นว่าตัวเรามีปัญหานมไม่พอจริงๆ หรือเข้าใจผิด
2.เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตน้ำนมและสาเหตุของปัญหานมไม่พอ
3.วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ

4.รวบรวมประสบการณ์จริงของแม่ที่เคยมีปัญหานมไม่พอและแก้ไขได้ในที่สุด 
...................................................................

ปัญหาของเด็กอนุบาล 3 – 5 ปี  ที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข

          ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กอนุบาลเป็นปัญหาที่รบกวนการเรียนของเด็กและทำให้ครูรู้สึกลำบากใจ  เนื่องจากเด็กไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้เพราะมีข้อจำกัดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ครูอาจต้องเฝ้าระวังและให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสติปัญญาของเด็ก  สาเหตุสำคัญของของปัญหามาจากการเลี้ยงดูและการปลูกฝังตั้งแต่ในวัยก่อนเข้าเรียน  ซึ่งครูจำเป็นต้องเข้าใจและหาแนวทางแก้ไข

1. ขี้อาย  เป็นอาการที่พบบ่อยได้ในเด็กทั้งก่อนวัยเรียนและเด็กวัยอนุบาล  โดยลักษณะของเด็กขี้อาย  เช่ย  เวลาซ้อมการแสดงจะทำได้ดี  แต่เมื่อแสดงต่อหน้าผู้คนจะไม่สามารถทำได้  เนื่องจากอายไม่กล้า  ซึ่งทำให้ครูรู้สึกลำบากใจการในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กเหล่านี้  สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากเด็กที่อยู่ในครอบครัวเล็ก ๆ มีเฉพาะพ่อ  แม่  พี่เลี้ยง  ห่วงเด็กมาก  ทำให้เด็กไม่มีทักษะทางสังคม  ไม้กล้าแสดงออก  อีกทั้งไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นกับเพื่อนเนื่องจากพ่อแม่ที่ปกป้องมากเกินไป  เด็กไม่รู้จักรับผิดชอบงานต่าง ๆ ไม่มั่นใจ  ไม่กล้าทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากนี้การเลี้ยงดูอย่างเร่งรัดเกินวัย  ทำให้เด็กไม่พร้อม  เกิดความกังวลใจ  หวั่นใจ  และไม่แน่ใจในการกระทำของตนเองและที่สำคัญคือการที่เด็กได้ถูกล้อเลียนจากเพื่อนเช่น  พูดไม่ชัดทั้ง ๆ ที่สติปัญญาดี  แต่ผลการเรียนไม่ดี   เพราะวิตกกังวลในเรื่องการถูกล้อเลียน         
         แนวทางแก้ไข  ให้เด็กได่มีโอกาสเล่นกับเพื่อนบ่อย ๆ ไม่จ้องดูและไม่กำกับการเล่น  พยายามอย่ากดดันให้เด็กทำสิ่งใดที่เกินวุฒิภาวะและพัฒนาการของเขา  และไม่ควรล้อเลียนในจุดด้วยของเด็ก  ให้เด็กฝึกรู้จักรับผิดชอบทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง  ทำการบ้าน  ช่วยเหลือครูในสิ่งที่สามารถทำได้

2.  ดื้อเอาแต่ใจ  ต้องการให้ตอบสนองแต่ความต้องการของตนเอง  เมื่อเติบโตขึ้นจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว  ไม่มีน้ำใจ  สาเหตุจากพ่อแม่ที่รักและเอาใจลูกมากิเกินไป  หรือเด็กเป็นลูกคนเล็ก  ลูกคนเดียว  เมื่อเข้าโรงเรียนทำให้เด็กเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจตนเอง         
         แนวทางแก้ไข  ให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจในการเล่น  มีกิจกรรมทั้งที่เป็นผู้นำและผู้ตามเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ว่า  ไม่สามารถยึดถือความคิดของตนเองเพียงฝ่ายเดียว  มีการตั้งกฏกติกาในการทำกิจกรรมและการเล่นที่ชัดเจน  หากทำผิดกฏจะมีการถูกลงโทษ

3.  ขี้เกียจ  ไม่รับผิดชอบ  มีสาเหตุมาจากพ่อแม่ที่ตามใจลูฏและช่วยทำทุกสิ่งทุกอย่างจนเด็กไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้  พ่อแม่มีความกังวลและห่วงลูกมากเกินไป  ไม่ให้ลูกช่วยเหลืองานต่าง ๆ ทีเด็กสามารถทำได้คิดแทนลูกในทุกเรื่อง
          แนวทางแก้ไข  ให้เด็กได้มีโอกาสในการช่วยเหลือตนเองโดยไม่ขัดขวางธรรมชาติความเป็นตัวของตัวเอง  เช่นเด็กอยากเล่นของเล่นที่โรงเรียนไม่ควรขัดขวางเพื่อให้เด็กได้มีอิสระในการคิดมากกว่าที่พ่อแม่ต้องคิดให้ตลอดเวลา  นอกจากนั้นควรมีกิจกรรมเสริมสร้างความเป็นตัวของตัวเอง  เช่น  ให้เด็กกำหนดการลงโทษเมื่อเล่นหรือทำผิดกติกา  ให้เด็กได้

รับผิดชอบงานที่สามารถทำได้  อาจเป็นการช่วยเหลือครู  เช่น  ช่วยยกหนังสือ  ช่วยแจกสมุดการบ้านให้เพื่อน  ช่วยจัดเวร  รายงานชื่อเพื่อนที่ไม่มาโรงเรียน

4. ขยิบตา  เป็นอาการของเด็กในช่วงวัยอนุบาลที่ไม่สามารถควบคุมได้  โดยเด็กจะแสดงอาการกะพริบตาถี่บ่อย ๆ บางคนขยับมุมปากอาการเหล่านี้ไม่ใช่โรคติดต่อ  สาเหตุเกิดจากความเครียด  พันธุกรรมและสารเคมีบางอย่างในสมองผิดปกติ
          แนวทางแก้ไข    พยายามไม่สร้างความเครียดให้กับเด็ก  เพราะที่โรงเรียนเด็กอาจมีความเครียด  เช่น  เรื่องการเรียน  ความสัมพันธ์กับครู  ความสัมพันธ์กับเพื่อน  นอกจากนี้ไม่ควรย้ำถาม  หรือบังคับให้เด็กหยุดทำอาการขยิบตา  ให้เด็กได้มีโอกาสระบายอารมณ์หรือแสดงอารมณ์บ้าง  แต่มีอาการอยู่ตลอด 2 – 3 เดือน  แล้วยังไม่ดีขึ้นควรพาเด็กไปพบจิตแพทย์ 

5. ร้องกรี๊ดแล้วดิ้น  เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามปกติ  อาจเป็นเพราะด้วยวัยอนุบาลที่ยังเอาแต่ใจตนเองใช้ความรู้สึกของตนเองเป็นศูนย์กลาง  ไม่ค่อยมีเหตุผล  ภาษายังไม่พัฒนาเต็มที่จึงต้องแสดงออกด้วยท่าทางและพฤติกรรมอีกทั้งในเรื่องของพื้นฐานอารมณ์ของเด็กเช่น เด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์ร้อนจะปรับตัวยากเลี้ยงยาก  ไม่พอใจจะแสดงอารมณ์ร้อนได้รุนแรงซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้         
          แนวทางแก้ไข  ครูต้องใช้หลักการเรียนรู้กับเด็กโดยถ้าเด็กเรียนรู้ว่าพฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่ได้ประโยชน์ต่อตนเอง  เช่นได้รับความสนใจ  เด็กจะร้องหรือนอนดิ้นโดยไม่มีเหตุผล  ให้เบี่ยงเบนความสนใจโดยใช้วิธีนี้ซ้ำ ๆ แล้วในที่สุดจะเลือกร้องหรือลงนอนดิ้นเอง  ถ้าเบี่ยงเบนความสนใจแล้วยังไม่ได้ผล  ให้เมินเฉย  ถ้าเด็กจะร้องแรงขึ้นไปอีก  ในที่สุดเขาก็จะรู้ว่าขืนร้องต่อไปก็ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากเราได้  เมื่อหยุดร้องก็อธิบายให้เด็กฟังว่า  “คราวหน้าไม่ต้องร้อง  มีอะไรก็บอกครูได้”  อย่างไรก็ตามควรต่องระมัดระวัง  มิให้เด็กได้รับอันตรายในขณะที่นอนดิ้นบนพื้น
จากบทความนี้คงเป็นแนวทางหนึ่งให้ท่านผู้ปกครองนำไปใช้ในการแก้ปัญหากับเด็กอนุบาลวัย 3 – 5 ปีได้

รองเท้าลูกหมี,พี่หมี

รองเท้าลูกหมี,พี่หมี ซีสี (RedApple แท้)
เด็กเล็ก(มีสายรัด)คู่ละ : 95 บาท
เด็กโตคู่ละ : 100 บาท








6.05.2554

เมื่อลูกไม่ยอมนอน

ในบทความนี้จะกล่าวถึงพื้นฐานการนอนหลับ ตั้งแต่แรกเกิดของทารก เริ่มตั้งแต่หลังคลอด
เมื่อทารกกลับมาจากโรงพยาบาลที่หนูน้อยเกิดขึ้นมานั่นเอง ทารกจะหลับหลังจากดูดนมอิ่มแล้วทุกครั้ง บางทีก็จะหลับ โดยไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูดนมในเวลากลางคืนอีก ช่วงนี้คนที่นอนไม่หลับ กลายเป็นคุณพ่อคุณแม่มากกว่า เพราะเกิดความกังวลกลัวลูกจะตื่นขึ้นมา แล้วตนไม่รู้ตัว ก็เกร็งนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ดังนั้นในช่วง 2 เดือนแรก พ่อและแม่ควรสร้างความคุ้นเคยกับทารกให้มากที่สุด แล้วทารกก็เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและหลับลงได้โดยง่ายด้วย ช่วง 2 เดือนแรกนี้ ลักษณะการนอนของเด็กจะขึ้นอยู่กับว่า ทารกได้รับอาหารและความรักเพียงพอหรือไม่ เด็กจะรู้สึกสบาย และนอนหลับต่อไปได้ แม่ต้องใจเย็นๆ ให้นมจนลูกอิ่มอย่างช้าๆ ทะนุถนอม และไม่เร่งรีบ สังเกตดูจะพบว่า ทารกต้องการต่างกัน บางคน ต้องการให้แม่กอดรัดตลอดเวลาที่ให้นม บางคน ต้องการให้กอดตอนก่อนนอนจนหลับไป

ในช่วงเดือนแรก


ทารกสามารถรับทราบความรักจากการสัมผัสของพ่อและแม่ พร้อมๆ กับเริ่มเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของพ่อแม่ สิ่งที่จะทำให้ทารก ผ่อนคลายจนนอนหลับได้ นอกเหนือจากการกอดสัมผัสของพ่อแม่แล้ว ยังมีวิธีการโยก หรือไกวเปลกล่อมเบาๆ ตบก้นเบาๆ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน บางท่านอาจพูดคุยกับลูก หรือร้องเพลงกล่อมขณะให้นมลูกก็เป็นวิธีที่ได้ผลดี ในช่วงอายุนี้ทารกจะหลับประมาณวันละ 16 ชั่วโมง และหิวนมทุกๆ 3-4 ชั่วโมง

เมื่อย่างเข้าสู่วัย 2-4 เดือน


ทารกก็ยังต้องการนอนหลับมากๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน เด็กจะต้องการนมในระยะห่างจากช่วง 2 เดือนแรก บางคนต้องการนมทุก 5-6 ชั่วโมง แต่บางคนจะนอนครั้งละ 7-8 ชั่วโมง จึงจะตื่นมารับประทานนม บางคนจะตื่นจะดูดนมเพียงคืนละครั้ง ขณะที่บางคนยังตื่นขึ้นมาคืนละ 2 ครั้ง แต่ตอนกลางวันจะตื่นบ่อยกว่ากลางคืน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กวัยนี้จะไม่ค่อยโมโหหิว คือ มักจะตื่นขึ้นมาเล่นสักพักจึงจะร้องดูดนม ดังนั้นแม่อาจปล่อยให้ลูกเล่นไป จนร้องแล้วค่อยเข้าไปป้อนนมก็ได้ เพราะลูกเล่นจนเหนื่อย เมื่อดูดนมจะหลับต่อได้ง่ายขึ้น การร้องเพลงกล่อมให้ลูกผ่อนคลาย ช่วยปลอบทารกให้สงบลง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวัยนี้ท่านไม่ควรนำเด็กเดินทางไปไหนๆ เพราะจะทำให้เด็กตื่นบ่อยๆ ตามจังหวะที่รถเคลื่อนที่ทำให้เด็ก ต่อต้านการนอนและจงใจตื่น ในที่สุดเมื่อนอนไม่หลับ เด็กก็จะเหนื่อยเกินไปและงอแงนอนไม่ได้ ท่านควรรีบแก้ไขทันที อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเนิ่นนานไป ทำให้เด็กมีนิสัยขี้หงุดหงิดเลี้ยงไม่ค่อยโต เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอตามมา

สิ่งที่น่ารู้อีกอย่างสำหรับเด็กวัย 2 เดือนก็คือ "ความหิว" จะไม่ปลุกให้เด็กตื่นในตอนกลางคืน กับการที่เด็กดูดนมมากๆ ก่อนนอน ก็ไม่ได้มีผลต่อการนอนอย่างชัดเจน และเรื่องความฝันก็ไม่ได้ทำให้เด็ก ตื่นขึ้นมาได้เพียงแต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าเด็กวัยนี้เริ่ม "ฝัน" แล้วหากเป็นฝันดีจะยิ้มและหัวเราะ ถ้าฝันร้ายเด็กจะดิ้นหรือร้องไห้แล้วหลับต่อ
มีเด็กอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ยอมนอนตอนกลางคืนและเอาแต่ร้องไห้ สาเหตุหลักส่วนใหญ่เกี่ยวกับ การเกิดอาการจุกเสียดในเวลาเย็น ซึ่งเป็นผลมาจากการร้องไห้มากเกินไป ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดวัน แม่เร่งให้ลูกดูดนมในตอนเย็นให้เสร็จเร็ว ๆ ทำให้ทารกหิวในช่วงดึก เป็นต้น

แต่จะว่าไปแล้ว อาการจุกเสียดมีความสัมพันธ์กับการร้องไห้เหนื่อยเกินไป หิวหรือตึงเครียด ปัญหาที่เกี่ยวกับพ่อแม่ทำให้เด็กอารมณ์เสียไม่ผ่อนคลาย จึงแสดงออกมาทำให้ท้อง ระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ เด็กเล็กพูดไม่ได้ ไม่สามารถบอกอาการอะไรได้ ทำได้แต่เพียงร้องไห้ ยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งเป็น เมื่อรู้สึกไม่สบายในท้อง เด็กจะไม่ยอมกินอะไร บ่องครั้งจะร้องคราง ซูบซีดลง บางครั้งอาจมีเหงื่อท่วมตัว บางคนอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าลูกมีอาการทางกายมากควรรีบปรึกษากุมารแพทย์ แต่ถ้าอาการแสดงออกเป็นเพียงเรื่องของการไม่ยอมนอน ท่านต้องให้ความอบอุ่นและเข้าใจลูกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกของท่าน ผ่อนคลายที่สุดก็จะหลับได้

ถึงช่วงอายุได้ 4-8 เดือน


ทารกหลายรายเคยที่เคยกรีดร้องก็จะสงบลงได้บ้าง ทารกจะ "รู้ความ" มากขึ้น จะขี้เล่น สนุกสนานร่าเริง เริ่มแสดงนิสัย อันเป็นบุคลิกภาพส่วนตัวออกมา แต่อาจจะมีบางคนยังเป็นเด็ก ที่เอาใจยากเหมือนเดิม ส่วนทารกที่เคยหลับเก่งก็เริ่มจะหลับน้อยลง ตอนกลางคืนจะดูดนมน้อยครั้งลงเหลือเพียงครั้งเดียว หรือบางคนให้นมก่อนนอนเด็กจะหลับยาวจนถึงเช้า เด็กบางคน ที่งีบหลับเป็นช่วงสั้นๆ ในตอนกลางวันวันละหลายๆ ครั้งอาจง่วง และอารมณ์เสียในตอนกลางคืนจึงร้องโยเยบ้างก่อนจะนอน แล้วจะหลับยาวตลอดคืน

ถ้าเช่นนั้นปัญหาในวัย 4-8 เดือน เกี่ยวกับการนอนคืออะไร

คำตอบก็ยังเป็นเช่นเดียวกับแรกเกิดถึง 4 เดือน คือ กรณีที่เด็กตื่นมารับประทานคืนละหลายครั้ง อาจเกิดเนื่องจาก ได้รับอาหารเสริมหรือนอนไม่เพียงพอจึงหิวอีก หรือเกิดเพราะทารก ไม่ได้รับการผ่อนคลาย ขาดความรักและความอบอุ่น หรือเป็นเพราะไม่สบาย ส่วนกรณีที่นอนไปแล้วตื่นขึ้นมาร้อง อาจเป็นเพราะฝันร้าย หรือความไม่สบายในการนอน เพราะเด็กทารกในวัยนี้ ต้องการความสบายในการนอนมากกว่าช่วงแรก ต้องไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป และมักจะไม่ชอบให้ห่อตัวนานๆ หรือรัดแน่นเกินไป บางรายไม่ยอมนอน เพราะในห้องมีแสงสว่าง วิธีแก้ก็คือ การทำให้ในห้องนอนมืด

เมื่อเด็กอายุได้ 8 เดือน ถึงขวบครึ่ง


ทารกจะเริ่มหัดเดิน คลานเตาะแตะเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวและไม่เห็นด้วยกับการบังคับให้นอนของพ่อและแม่ เริ่มรู้ที่จะดูแลตนเองในยามกลางคืน รู้จักที่นอนของตนเอง เด็กจะเริ่มซุกซนทำเสียงอึกทึก และห่วงเล่นไม่ยอมนอน ช่วงกลางวันเด็กในวัยนี้จะหลับสั้น ๆ แต่หลับหลายรอบ ส่วนตอนกลางคืนอาจหลับยาว 10-12 ชั่วโมง มีบางคน ยังตื่นมารับประทานนมอยู่ 1-2 ครั้ง

การที่ทารกเคลื่อนไหวไปมาได้มาก ทำให้เหนื่อยขึ้น ยิ่งถ้าเล่นมากยิ่งหลับยาก บางคนจะเริ่มก่อกวนตอนเที่ยงคืน เพราะหลับสบายมาก่อนหน้านี้หลายชั่วโมง บางกรณีที่เด็กไม่ยอมนอน เป็นเพราะเมื่อตอนเล็กกว่านี้ได้นอนกับพ่อแม่ เมื่อโตขึ้นกับถูกใส่เปล ให้นอนคนเดียวเด็กจะรู้สึกขาดความอบอุ่นทำให้ไม่ยอมนอน ท่านต้องปลอบโยนเล่านิทานให้ฟังจนเด็กรู้สึกมั่นคงปลอดภัยก็จะหลับไปได้

เมื่อเด็กโตขึ้นอีกจนถึงอายุ 3 ขวบ


พบว่า "ความฝัน" มักเป็นตัวปัญหาในการนอนของเด็กในวัยนี้ พฤติกรรมปกติของเด็กจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแก่พ่อ-แม่ พบว่า เด็กจะนอนกลางวันเพียงครั้งเดียว และกลางคืนมักจะนอนยาว เว้นแต่จะปวดฉี่จึงจะตื่น

สุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ เด็กที่อายุ 3 ขวบขึ้นไป ท่านจะยิ่งสบายขึ้น ปัญหาด้านการนอนของเด็กจะน้อยลงไป เด็กส่วนใหญ่จะหลับตอนกลางคืน นอกจากจะปวดฉี่ หรือฝันร้าย หรือเดินละเมอ สำหรับเด็กที่อายุ 3-6 ขวบ ยังคงต้องการนอนกลางวันอยู่ และตอนกลางคืนต้องการเวลานอนวันละ 10 ชั่วโมง จึงจะเพียงพอเมื่อโตกว่า 10 ขวบแล้วใช้เวลานอนเพียงวันละ 8 ชั่วโมงต่อคืน

เทคนิคและขั้นตอนที่จะทำให้ลูกของท่านนอนหลับได้อย่างเป็นสุข เมื่อลูกไม่ได้ลุกขึ้นมาร้องกวนตอนกลางคืน

เริ่มตั้งแต่ทารกแรกเกิด ท่านมีวิธีง่ายๆ ที่จะสอนให้ลูกนอนได้แก่ การทำให้ลูกอิ่มแต่พอควร ไม่อิ่มเกินไปจนท้องอืดนอนไม่หลับ ต้องแน่ใจว่าลูกได้ผ่อนคลาย เช่น ใช้เสียงกล่อม โยกเปลกล่อม ให้ดูดจุกนมหลอก กอดลูกไว้ในอ้อมแขน ตบหัวลูกเบาๆ ร้องเพลงกล่อมลูก วางทารกไว้ที่สบายที่สุด เช่น เปล เตียงนอน เป็นต้น

สิ่งสำคัญและควรทำเป็นกิจวัตรก็คือ การสร้างกิจกรรมขึ้นมาสักอย่าง ให้เด็กเรียนรู้ไม่ว่า เมื่อเริ่มกิจกรรมนี้แล้วจะต้องจบลงด้วยการนอนหลับของลูก และหมั่นรักษากิจกรรมนี้ไว้ตราบเท่าที่ยังใช้ได้ผล โดยตัวของท่าน จะต้องตั้งใจทำกิจกรรมนี้ ไม่ใช่มัวแต่ห่วงงานอื่น ทำให้พะว้าพะวัง ทำๆ หยุดๆ จนไม่ได้ผล กิจกรรมนี้อาจเป็นกิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วคือ การร้องเพลงกล่อม ไกวเปล ให้ดูดจุกนมหลอก ฯลฯ ทุกอย่างที่ทำ เพื่อให้ทารกรู้สึกง่วงเพราะ ถ้าไม่ง่วง ไม่อิ่ม ไม่ผ่อนคลายเด็กจะไม่ยอมนอน เด็กบางคนชอบให้อาบน้ำก่อนนอน การอาบน้ำจะช่วยหยุดนิสัย กรีดร้องตอนกลางคืนของเด็กได้ และช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นแต่ถ้าเด็กกรีดร้องมาก ท่านอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย ควรวางทารกในท่านอนคว่ำ สัก 10-15 นาที พร้อมๆ กับตัวท่านควรสงบสติอารมณ์ แล้วจึงปลอบโยนทารกใหม่ หากยังไม่ได้ผล ให้กอดลูกให้แน่นๆ เด็กอาจจะเลิกร้องและยอมนอน เว้นเสียแต่ เด็กจะไม่สบายจริงๆ

เมื่อลูกโตขึ้นมาอีก 2-3 เดือน เด็กจะมีความรู้สึกที่ไวขึ้น ต่อการสัมผัสและอุณหภูมิ ดังนั้นเมื่อคุณกล่อมจนลูกหลับแล้ว ไม่เป็นการแปลกเลยที่เมื่อคุณวางเด็กลงบนที่นอนแล้ว เด็กจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก นั้นเป็นเพราะการย้ายลูกจากอ้อมกอดที่อุ่นๆ ของท่านไปวางบนที่นอนที่เย็นกว่า จะปลุกให้ลูกตื่น วิธีแก้ไขก็คือให้ท่านตบก้นลูกเบาๆ ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นจังหวะ และสัมผัสที่ต่อเนื่อง ถ้ายังไม่หลับให้ตบก้นเบาๆ แต่ถี่ขึ้นกว่าเดิม หรืออุ้มขึ้นมากล่อมใหม่ให้หลับแล้วจึงวางเด็กลงไปใหม่

การเปลี่ยนที่นอนของลูกบ่อยๆ เช่น เดี๋ยวก็วางในเปล เดี๋ยวก็วางในตระกร้า หรือบางทีก็ให้นอนบนที่นอนของท่าน จะทำให้ทารกหลับยาก ท่านควรเอาใจใส่ให้เด็กหลับให้เป็นที่เป็นทาง ให้เด็กเรียนรู้ที่จะนอนหลับที่นั่น เด็กจะเรียนรู้ที่จะนอนในที่ที่คุณต้องการ เป็นการฝึกนิสัยการนอนที่ถูกต้องให้กับเด็ก

เมื่อทารกตัวใหญ่ขึ้นก็ไม่เหมาะที่จะนอนในตระกร้าอีกต่อไป ควรให้ลูกนอนในเปลหรือนอนบนเตียง หากบางท่านจะแยกให้ลูก นอนห้องส่วนตัว ท่านสามารถทำได้ตั้งแต่ลูกท่านอายุ 4 เดือน แต่ต้องแน่ใจว่าห้องของลูกจะต้องอยู่ไม่ไกลเกินกว่าที่ท่าน จะฟังเสียงร้องเรียกของลูกได้

ใครควรเป็นผู้พาลูกเข้านอน ?

ทารกมักจะคุ้นเคยกับการให้คนพาเข้านอน คนที่คุ้นเคยส่วนใหญ่ จะเป็นพ่อและแม่ เด็กมักจะชินกับคนที่พาเข้านอนทุกๆ วัน และจะรู้ว่า จะหลับได้อย่างสบายใจ อบอุ่นและมั่นคง ถ้าเปลี่ยนคนพาเข้านอน ระยะแรกเด็กอาจจะไม่คุ้นเคย ทำให้นอนไม่หลับ งอแง แต่ถ้าเวลาผ่านไปเด็กจะยอมรับสถานการณ์นั้นได้ สิ่งสำคัญก็คือ ควรใช้วิธีการเดียวกันในการพาลูกเข้านอน ไม่ว่าผู้ที่พาเข้านอน จะเป็นพ่อ-แม่, พี่เลี้ยง, คุณปู่-คุณย่า, คุณตา-คุณยาย ควรทำให้เด็กคุ้นเคย กับวิธีการมากกว่าตัวบุคคล เด็กจะหลับได้เป็นเวลาและมีแบบแผน

ควรให้ลูกนอนที่ไหน ?

สถานที่นอนมักจะไม่เป็นปัญหา สำหรับเด็กที่นอนง่ายหลับง่าย แต่จะเป็นปัญหามากในเด็กที่หลับยาก กรณีหลังนี้ ท่านต้องเอาใจใส่การสอนให้ลูกหลับในที่ใดที่หนึ่งให้ได้ โดยให้ลูกเรียนรู้ที่หลับที่นั่นแล้วเมื่อถึงเวลานอน ลูกจะนอนหลับได้ ตามที่คุณต้องการ

ในวัย 1-2 เดือน ท่านอาจให้ลูกนอนในตระกร้าหรือบนที่นอน เล็กๆ เมื่อโตขึ้นหน่อยควรให้นอนในเปล เพราะทารกจะตื่นไวขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การไกวเปลจะช่วยให้ลูกนอนหลับต่อได้
ทารกบางคนขี้ตกใจ การจับให้นอนคว่ำ จะช่วยให้หลับตื่นได้ดีขึ้น และยังช่วยขจัดปัญหาเรื่องท้องอืด เพราะท่านอนคว่ำช่วยให้ขับลมออกมาได้

ส่วนการแยกห้องนอนของลูกเป็นสัดส่วน ท่านสามารถทำได้โดยเริ่มตั้งแต่ลูกเริ่มอดนมตอนกลางคืน คือ เมื่อลูกหลับยาวตลอดคืนโดยไม่ลุกขึ้นมารับประทานนมอีก
อุณหภูมิภายในห้องนอนของลูก ควรเป็นอุณหภูมิปกติ ไม่เย็นหรืออุ่นเกินไป เพราะอากาศที่เย็นเกินไปหรืออุ่นเกินไป จะทำให้อากาศแห้งเกินไป จนทำให้ทารกไอ, เป็นหวัดได้ง่าย

ส่วนเรื่องรบกวนในเวลานอน ปรากฏว่า เด็กไม่ต้องการความเงียบ มากเกินไป การที่ครอบครัวส่งเสียงดังบ้าง เด็กอาจจะชิน และรู้สึกว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ในทางตรงกันข้ามเสียงที่อึกทึกมากเกินไป เด็กก็ไม่ชอบ การเปิดเพลงเบาๆ ให้เด็กฟังเวลานอน ช่วยให้เด็กเคลิ้มและหลับง่ายขึ้น
ถ้าลูกตื่นขึ้นมาร้องไห้ตอนกลางคืนท่านจะแก้ไขอย่างไรดี ?


ท่านมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง ที่พอจะทำได้ คือ

ทางเลือกที่ 1 ปล่อยให้ลูกร้องต่อไปสักพัก

โดยปกติลูกจะตื่นขึ้นมาร้องไห้ภายหลังจากที่ได้นอนไปแล้ว 4 ชั่วโมง และจะร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงไม่มาโอ๋เสียที เมื่อร้องจนเหนื่อยแล้วเด็กจะหลับไปเอง สิ่งที่ต้องทำใจให้ได้ก็คือ ต้องอดทนที่จะฟังเสียงกรีดร้องของลูกใน 2-3 วันแรก เมื่อลูกรู้ว่าวิธีกรีดร้องนี้ไม่ได้ผลแกก็จะไม่ร้องไห้อีกต่อไป วิธีนี้อาจจะดูแรงไปสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ดังนั้นขอแนะนำ ให้ใช้กับลูกอายุเกิน 1 ขวบไปแล้ว

ทางเลือกที่ 2 เข้าไปปลอบลูกตั้งแต่เริ่มร้อง

หลายๆ ท่านอาจทนฟังเสียงลูกกรีดร้องไม่ได้ จึงใช้วิธีการให้ความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เข้าไปหาลูก เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ ตบก้นหรือพูดคุยปลอบโยนลูกเบาๆ หากจำเป็นก็อาจจะอุ้มขึ้นมากล่อมจนลูกเริ่มหลับแล้วจึงวางนอนใหม่ โดยพยายามเอาใจใส่ตามความจำเป็นเท่านั้น ไม่โอ๋จนเกินเหตุ แล้วเพิ่มช่วงห่างในการเข้าไปปลอบขึ้นเรื่อย ๆ วิธีนี้จะใช้ได้ผลมาก เมื่อทารกตื่นขึ้นตอนกลางคืนภายหลังจากที่หายป่วยใหม่ ๆ หรือฟันเริ่มขึ้น และวิธีนี้ใช้ได้กับเด็กทุกช่วงอายุ แต่ท่านจะต้องเหนื่อย และใช้ความอดทนมากกว่าวิธีแรก

ทางเลือกที่ 3 ปล่อยเลยตามเลย

วิธีนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายก่อนจะปล่อยเลยตามเลย ท่านควรพาลูกไปตรวจสุขภาพก่อน ถ้ามีสิ่งผิดปกติ เกี่ยวกับร่างกายของลูกก็ควรแก้ไขเสีย เด็กอาจจะหยุดร้องไห้กลางคืนได้ หากยังร้องอยู่ท่านอาจใช้ทั้ง 2 ทางเลือกข้างต้นสลับทุกๆ 6-8 สัปดาห์ เมื่อท่านเข้มแข็งขึ้นลูกจะเชื่อฟังท่านมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ลูกของท่านชอบตื่นมาตอนเช้าๆ (เช้ากว่าเวลาปกติที่คุณตื่น) ถ้าลูกโตพอที่จะเอานมใส่ปากได้เอง ท่านควรเตรียมนมไว้ให้เด็กดูดเองสัก 60 ซีซี เด็กจะหลับต่อได้จนเช้า แต่ถ้าเด็กไม่หิว ท่านอาจจะเข้าไปตบก้นเด็กเบาๆ จนลูกหลับไป หรือนำเด็กมานอนบนเตียงกับท่านกอดเขาไว้จนหลับไปก็ได้
อะไรบ้างเป็นสาเหตุให้ลูกนอนไม่หลับ ?


สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ลูกของท่านไม่ยอมนอน ได้แก่ ความกระวนกระวาย ความตื่นเต้น ความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บไข้ได้ป่วย และสาเหตุที่พบบ่อยๆ ก็คือ "ฝันร้าย" เริ่มตั้งแต่ลูกอายุได้ 2 ขวบ จิตนาการของเด็กที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน อาจจะถูกนำไปใช้ ในเวลากลางคืนด้วย ถ้าเด็กร้องไห้หรือกรีดร้อง ทั้งที่ยังหลับอยู่ เมื่อท่านเข้าไปหาลูกแต่ลูกยังหลับอยู่แสดงว่าลูกกำลังฝันร้าย ท่านควรปลุกให้ลูกตื่นแล้วปลอบโยนแกเบาๆ แต่ถ้าลูกฝันร้ายทุกคืน ควรตรวจดูว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฝันร้าย เช่น น้อยใจพ่อแม่ อิจฉาพี่น้อง ดูทีวีรายการที่ไม่เหมาะสม หรือกลัวความมืด ฯลฯ ถ้าแก้ไขสาเหตุได้ เด็กจะหยุดฝันร้าย

บางทีเหตุการณ์พิเศษในช่วงที่เด็กจดจำได้ ก็มีผลรบกวน การนอนของเด็ก เช่น พ่อและแม่ทะเลาะกันรุนแรง การเจ็บป่วย ขนาดที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ถูกฉีดยา หรือถูกทำให้เจ็บปวดก็ ทำให้ลูกนอนไม่หลับ

ลูกร้องตอนกลางคืน ทำอย่างไรดี

ลูกร้องตอนกลางคืน ทำอย่างไรดี
คุณพ่อ คุณแม่สมัยใหม่ คงมีปัญหากับลูกร้องไห้ตอนกลางคืนมากที่สุด เพราะ คุณพ่อ คุณแม่สมัยใหม่ ทำงานหนักมาทั้งวัน ตอนกลางคืนก็อยากจะพักผ่อนให้เต็มตา แต่ลูกน้อยดันมาร้องไห้ตอนกลางคืน เข้าใจและน่าเห็นใจจริงๆค่ะ ว่ามันน่าเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน จะไปห้ามให้ลูกร้องก็คงไม่ได้ น่าเห็นใจทั้ง แม่และเด็ก แต่ที่เราพอจะแนะนำ จะช่วยได้ ก็น่าจะเป็นวิธีการ หรือข้อปฏิบัติที่จะทำให้ลูกร้องตอนกลางคืนน้อยที่สุด หรือเงียบให้เร็วที่สุด ถ้าลูกร้องตอนกลางคืน เราต้องอย่าหงุดหงิดนะคะ บางทีเกี่ยงกัน คุณพ่อ คุณแม่ กลายเป็นทะเลาะกันสร้างปัญหา ครอบครัว เข้าไปอีก ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จะจัดเวรยามผลัดกัน หรือมาช่วยกันดูเลยก็ได้ค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา


วิธีการแก้ปัญหาลูกร้องตอนกลางคืน
  1. ห่อตัวลูกด้วยผ้าให้กระชับ แต่อย่าแน่นเกินไป เพราะเด็กที่เพิ่งออกมาจากท้องคุณแม่นั้น เคยอยู่
    เคยชินกับการห่อตัว และมีท้องคุณแม่ห่อหุ้มคุ้มครองมาตลอด เด็กจึงจะยังไม่เคยชิน
    และรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ หากให้นอนในแบบเราๆ ปกติ หากลองห่อตัวลูกให้กระชับ อาจทำให้เด็ก
    รู้สึกถึงสภาพเคยชิน และหยุดร้องได้
  2. หาสาเหตุให้ดี อุณหภูมิในห้องเย็นเกินไป หรือร้อนเกินไปหรือเปล่า บางทีเราไปหงุดหงิดลูกร้อง
    ตอนกลางคืน แต่ไม่รู้ตัวว่า ห้องหนาวยังกับขั้วโลก เด็กเกิดใหม่ก็ทนไม่ไหว หรืออาจะมียุงกัดลูก
    หรือไม่ ก็ดูจากรอยตุ่ม รอยแผล หรือเด็กอาจจะอยากเรอ เพราะทานมากไป หรือเปล่า การหาสาเหตุ
    และปรับปรุงไปทีละจุดนี้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการลูกร้องได้
  3. เมื่อลูกร้อง ก็ให้อุ้มลูกขึ้นมาให้แนบชิดตัวเอาไว้ ค่อยๆโยกไปมาก็ได้ หรืออาจทำเสียงอะไรเบาๆ
    ให้ลูกฟัง เพื่อให้เขาทราบรับรู้ทุกโสตว่า คุณแม่ ยังอยู่ และจะดูแลเขาอย่างดี ทำไปเรื่อยๆ
    โดยทั่วไป ลูกก็น่าจะหยุดร้องได้เอง
  4. แต่ถ้าหากลูกน้อยของคุณแม่ ร้องไม่หยุด ปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมเงียบ ทุกวันๆตลอด ใช้ทุกวิธีแล้ว
    ก็ไม่บรรเทา เบาบางลงเลย อาจเข้าข่ายอาการของเด็กที่เรียกว่า ร้องไห้ไม่หยุด หรือ โคลิค ซึ่งก็ไม่ใช่
    ความผิดปกติน่ากลัวอะไร แต่แนะนำให้ลองพาน้องไปปรึกษากุมารแพทย์ดู เพื่อหาวิธีบรรเทา
    เบาบางลง ทั้งเพื่อตัวเด็กเองและตัวคุณพ่อ คุณแม่ด้วย ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อว่า โคลิกนั้นเกิดจาก
    ลมในท้องซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างวัน ดังนั้นการอุ้มพาดบ่าเพื่อให้เด็กได้เร่อ หรือนอนคว่ำพร้อมกับการลูบ
    หลังลูกเพื่อบรรเทาอาการปวดก็อาจจะช่วยได้ค่ะ แต่หากให้นอนคว่ำก็ต้องระวังอย่าให้ลูกเผลอกดทับ
    จมูกตัวเองจนหายใจไม่ออกนะค่ะ